วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ระบบโครงกระดูก ( The Skeletal System )

ระบบโครงกระดูก
( The Skeletal System )
                ประกอบด้วย
-                   กระดูกอ่อน (Catilage)
-                   กระดูก ( Bone)
-                   เอ็นยึดกระดูก ( Ligament )
-                   ข้อต่อ ( Joint )
ทำหน้าที่
-                   เป็นโครงรักษารูปร่างร่างกาย
-                   อื่นๆ เช่น โครงสร้างส่วนแข็งแรง ให้เราคงรูปร่างอยู่ได้, ยึดกล้ามเนื้อให้เกิดการเคลื่อนไหว, แหล่งสะสมแร่ธาตุพวกแคลเซียม, แหล่งสร้างเม็ดเลือด, ปกป้องอวัยวะสำคัญ, ได้ยินเสียงได้
ชนิดของกระดูก
1.              จำแนกตามลักษณะเนื้อกระดูกที่มองเห็น
-                   กระดูกพรุน (Spongy bone/ Cancellous bone) : โปร่งและพรุน คล้ายฟองน้ำ พบส่วนลึกต่อจากผิวกระดูก
-                   กระดูกแข็ง (Compact bone/ Dense bone) : เนื้อแน่นทึบ มองไม่เห็นช่องว่างด้วยตาเปล่า พบตามผิวกระดูกต่างๆ
2.              จำแนกตามรูปร่าง
-                   กระดูกยาว (Long bone) : มี 90 ชิ้น รูปยาว เป็นกระดูกพรุนปกคลุมด้วยกระดูกแข็ง แต่ตรงกลางเป็นกระดูกแข็ง เรียก Diaphysis และมีช่องว่างบรรจุไขกระดูก (Bone marrow) เช่น กระดูกแขน ขา
-                   กระดูกสั้น (Short bone) : มี 30 ชิ้น มีความกว้างและยาวใกล้เคียงกัน เป็นก้อนๆ เช่น กระดูกข้อมือ ข้อเท้า
-                   กระดูกรูปแบน (Flat bone) : มี 38 ชิ้น รูปร่างแบน เช่น กระดูกกะโหลกศีรษะ กระดูกซี่โครง กระดูกสะบัก
-                   กระดูกรูปแปลก (Irregular bone) : มี 46 ชิ้น รูปร่างไม่แน่นอน คล้ายกระดูกสั้น เช่น กระดูกสันหลัง กระดูกขมับ
-                   กระดูกที่เกิดจากเอ็นของกล้ามเนื้อ (Sesamoid bone) : มี 2 ชิ้น คล้ายเม็ดงา ได้แก่ กระดูกสะบ้า
3.              จำแนกตามตำแหน่งที่อยู่ในร่างกาย
-                   กระดูกแกนกลาง / กระดูกลำตัว (Axial skeleton) มี 80 ชิ้น
-                   กระดูกรยางค์ (Appendicular / Extremities skeleton) มีรยางค์บน 64 ชิ้น ระยางค์ล่าง 62 ชิ้น
หมายเหตุ : เมื่อเติบโตขึ้น กระดูกหลายชิ้นจะต่อรวมเป็นแป้นชิ้นใหญ่
                การเกิดกระดูก
1.              Intramembranous ossification
-                   เกิดจากmembraneของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เปลี่ยนเป็นกระดูก
-                   ได้แก่ พวกกระดูกแบน กระดูกสั้น กระดูกยาวบางชิ้น
2.              Endochondral osification / Intracartilaginous ossification
-                   มี 2 ขั้นตอน
o   การพองตัว และการสลายตัวของกระดูกอ่อน : เกิดช่องขึ้น
o   เซลล์ของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงจะเปลี่ยนเป็นเซลล์ที่จะสร้าง Maxtrix หุ้ม จากนั้น จะมีหลอดเลือดต่างๆแทรกเข้ามาและพัฒนาจนเป็นกระดูกในที่สุด
การหักและซ่อมแซมของกระดูก (Fracture and repair of bone)
                                เมื่อกระดูกหัก เส้นเลือดจะเกิดการฉีก ทำให้เลือดไหลออกมาและแข็งตัว จนอุดตันบริเวญนั้น ทำให้เซลล์กระดูกตาย
                                แต่เมื่อนำก้อนเลือดนี้ออก จะเกิดการสร้างกระดูกขึ้นมาใหม่ โดยเริ่มจากกระดูกอ่อนก่อนและสร้างกระดูกแบบ Intramembranous ตามมา ซึ่งระหว่างนี้ จะต้องห้ามเคลื่อนที่ จึงจำเป็นต้องเข้าเฝือก
                เยื่อหุ้มกระดูก แบ่งเป็น 2 ชิ้น
1.             เยื่อหุ้มกระดูกชั้นนอก (Periosteum) : เป็น Membrane บางๆ แต่ไม่หุ้มหัวท้ายของกระดูกยาว ซึ่งมีกระดูกอ่อนหุ้มอยู่
2.             เยื่อกระดูกอ่อนชั้นใน (Endosteum) : เป็น Membrane บางละเอียด อยู่ในโพรงหรือช่องกลางกระดูก
หน้าที่ของเยื่อหุ้มกระดูก
-                   นำเลือดไปเลี้ยงกระดูก
-                   เกิดกระดูกใหม่ได้ เพราะมีเซลล์ในการสร้างกระดูก
-                   ป้องกันเซลล์กระดูกที่เกิดใหม่ไม่ให้หลุดออก
-                   ทำให้กล้ามเนื้อยึดติดกับกระดูกได้
ไขกระดูก (Bone marrow)
                เป็นช่องว่างภายในกระดูก เป็นแหล่งสร้างเม็ดเลือด มี 2 ชนิด
1.              ไขกระดูกแดง (Red Bone marrow) : Active formที่จะสร้างเม็ดเลือดแดง
2.              ไขกระดูกเหลือง (Yellow Bone marrow) : Inactive form

เริ่มสร้างเม็ดเลือดแดงประมาณช่วงกลางของเด็ก จนถึงวัยรุ่น จากนั้นไขกระดูกแดงจะถูกแทนที่โดย Fat cell เป็นไขกระดูกเหลือง แต่ไขกระดูกเหลืองก็เปลี่ยนกลับเป็น Active form ได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น