กระดูกแขน
1.1
กระดูกสะบัก (Scapula) มี 2 ชิ้น เป็นกระดูกแบนใหญ่ รูปสามเหลี่ยม ตั้งอยู่เบื้องหลังตอนบนของทรวงอกระหว่างกระดูกซี่โครงคู่ที่
2 – 7 พื้นหน้าคือ พื้นที่ติดกับกระดูกซี่โครง มีรอยเว้าเป็นแอ่ง เรียก Subscapular fossa ส่วนพื7นหลังนูนออก
แบ่งเป็น 2 ส่วน โดยสันของกระดูกสะบักที่ทอดขวางอยู่ส่วนบนเหนือสันนี้เป็นแอ่งตื้นๆ
เรียก Supraspinous fossa แต่ส่วนล่างใต้สันกว้างกว่า เรียก Infraspinous fossa ปลายบนของสัน (Spine) ยื.นออกมาทางมุมบนหัวไหล่
มีลักษณะเป็นแง่ เรียก Acromion
process สําหรับติดต่อกับปลายนอกของกระดูกไหปล้า
ใต้ Acromion process มีแอ่งเว้า เรียก Glenoid cavity ซึ่งให้หัวของกระดูกต้นแขนสวมอยู่ ริมบนใกล้กับ Glenoid cavity มีแง่แหลมยื่นออกไปข้างหน้า
เรียก Coracoid process เป็นที่สําหรับให้หัวของกล้ามเนื7อแขนยึดเกาะ
1.2 กระดูกไหปลาร้า (Clavicles or Collar bone) เป็นกระดูกยาวโค้ง
มี 2 ชิ้น อยู่ด้านหน้าส่วนบนของทรวงอกเหนือระดับกระดูกซี่โครงอันที่ 1
ปลายข้างหนึ่งต่อกับกระดูกหน้าอกปลายอีกข้างหนึ่งต่อกับกระดูกสะบัก ในผู้หญิงกระดูกไหปลาร้าจะสั้นและมีส่วนโค้งน้อยกว่าในผู้ชาย
2. กระดูกแขน (Bones of the
arm) ประกอบด้วยกระดูกข้างละ
30 ชิ้น ได้แก่
2.1 กระดูกต้นแขน (Humerus) มี 2 ชิ7น เป็นกระดูกยาว ปลายบนกลมใหญ่ เรียก Head สวมอยู่ใน Glenoid cavity ของกระดูกสะบัก
ส่วนปลายล่างแบน กว้าง มี 2 ปุ่ม คือปุ่มนอกและ ปุ่มใน สําหรับให้กล้ามเนื้อปลายแขนเกาะ
ใต้ปุ่มนอกจะมีรอยติดต่อกับหัวกระดูกปลายแขนอันนอก (Radius) และใต้ปุ่มทั้ง 2 นี้มีลักษณะคล้ายหลอดด้าย ซึ่งเป็นส่วนติดต่อกับกระดูกปลายแขนอันใน
(Ulna) กระดูกทั้ง 3
ชิ้นจะประกอบกันเป็นข้อศอก (Elbow)
2.2 กระดูกปลายแขนอันใน (Ulna) มี 2 ชิ้น เป็นกระดูกยาว อยู่ด้านนิ้วก้อย
ยาวกว่ากระดูกปลายแขนอันนอก (Radius) ปลายมี 2 แง่
แง่ใหญ่เป็นข้อศอก ยื่นขึ้นไปข้างบนทางด้านหลังเรียก Olecranon process และจะไปติดต่อเป็นข้อต่อกับกระดูกต้นแขน
แง่เล็กข้างหลัง เรียก Coronoid
process ตอนกลางของกระดูกเป็นรูปสามเหลี่ยม มี 3 ริม ปลายล่างจะเล็กมี 2 ปุ่ม
ปุ่มกลมใหญ่ติดต่อกับกระดูก Radius ปุ่มเล็ก เรียก
Styloid process ปุมนี้ไม่ต่อกับกระดูกข้อมือ
2.3 กระดูกปลายแขนอันนอก (Radius) มี 2 ชิ้น เป็นกระดูกยาว สั้นและเล็กกว่ากระดูกปลายแขนอันใน
(Ulna) ปลายบนเล็กกลม
มีรอยต่อหวําสําหรับติดกับกระดูกต้นแขน ตอนกลางมีรูปทรงเกือบจะสามเหลี่ยม
ข้างบนเล็กข้างล่างโต ปลายล่างใหญ่กว่าปลายบนมาก มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมติดกับกระดูกข้อมือ
ที่ปลายล่างมีแง่เล็กๆยื่นลงไปข้างล่าง เรียก Styloid process
2.4 กระดูกข้อมือ (Capus) เป็นกระดูกสั้น มีข้างละ 8 ชิ้น เรียง 2 แถว
แถวละ 4 ชิ้น กระดูกแต่ละชิ้นมีชื่อเรียกต่างๆกันและมี Ligament ยึดให้ติดกันทําให้เคลื่อนไหวได้
กระดูกข้อมือแถวบน จะติดกับกระดูก Radius ส่วนปลายล่างจะติดกับกระดูกฝามือ
เป็นข้อต่อ Carpometacarpal joint
- แถวบน scaphoid, lunate, triquetrum, และ pisiform
- แถวล่าง trapezium, trapezoid, capitates และ hamate
2.5 กระดูกฝ่ ามือ (Metacarpus) เป็นกระดูกยาว มีข้างละ 5 ชิ้น ตอนกลางโค้ง
ข้างหน้าหวํา ปลายบนติดกับกระดูกข้อมือแถวล่าง ปลายล่างติดกับกระดูกนิ้วมือแถวที่
1
2.6 กระดูกนิ้วมือ (Phalanges of the fingers) เป็นกระดูกยาว มีข้างละ 14 ชิ้น มีนิ้วละ
3 ชิ้น ยกเว้นนิ้วหัวแม่มือมี 2 ชิ้น
กระดูกของขา (Bones of lower
extremities)
กระดูกขามีทั้งหมด 62 ชิ7น
ข้างละ 31 ชิ้น ประกอบไปด้วย
1. กระดูกที่ประกอบเป็นอุ้งเชิงกราน
(Pelvic girdle) ประกอบด้วย
1.1 กระดูกตะโพก (Hip bone or Innorminate bone) มี 2 ชิ้น
มารวมติดต่อกันเป็นส่วนประกอบด้านหน้าและด้านข้าง เป็นกระดูกแบนใหญ่ (บางเล่มเป็นกระดูกรูปแปลก)
กระดูกตะโพกแต่ละข้างประกอบด้วยกระดูก 3 ชิ้น ซึ่งแยกจากกันในวัยเด็ก
และจะรวมกันเป็นชิ้นเดียวในวัยผู้ใหญ่ กระดูก 3 ชิ้นนี้ ได้แก่
1) Ilium เป็นส่วนแบนใหญ่ที่ยื่นขึ้นมาข้างบนของตะโพกที่ริมหรือขอบตะโพกมีขอบหรือสัน
เรียกว่า Crest of ilium or Iliac crest ซึ่งเป็นขอบข้างๆของบั้นเอว
ที่ริมบนของขอบนี้มี 2 ปุ่มคือ ปุ่มหน้า (Anterior superior iliac spine) ใช้ในการวัดคว่ามกว้างของอุ้งเชิงกราน
ปุมหลัง (Posterior superior iliac spine) ใช้ในการวัดส่วนกว้างด้านข้างของอุ้งเชิงกราน
ส่วนล่างของ Ilium ที่ติดต่อกับ Ischium และ Pubis
พื้นของในของ Ilium หวํา เรียก Iliac fossa ใต้ Iliac
fossa มีขอบเป็นสันยาว เรียก Iliopectineal
line or Brim of pelvis สันยาวนี้ใช้เป็นขอบเขตแบ่งอุ้งเชิงกราน
- ส่วนที่อยู่เหนือสัน กว้าง ผายออก
เรียก อุ้งเชิงกรานไม่แท้ (False pelvis)
- ส่วนล่างอยู่ใต้สัน แคบ เรียก
อุ้งเชิงกรานแท้ (True pelvis) และอุ้งเชิงกรานแท้ยังแบ่งออกเป็นช่องเข้า
(Pelvic Inlet) ซึ่งอยู่ตรงกับสันยาว
(Iliopectineal line) ส่วนช่องออก (Pelvic outlet) อยู่ข้างหลัง มีปลายกระดูกก้นกบ
ข้างๆมีปุ่มของกระดูกนั่ง (Ischial
tuberosities)
2) Ischium เป็นส่วนล่างของกระดูกตะโพก เป็นส่วนที่รับน้ำหนักของร่างกาย
มีปุ่มกระดูกนั่ง เรียก Ischial
tuberosities
3) Pubis คือ ส่วนที่ข้างหนาของกระดูกตะโพก ตรงที่กระดูก Pubis ทั้ง 2 ข้างมาพบกันจะก่อให้เกิดขอบขึ้น
คลําได้ง่าย ที่ขอบล่างของช่องท้องเหนืออวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก เรียกหัวหน่าว
และข้อต่อระหว่าง Pubis มาบรรจบกัน
เรียก รอยต่อของกระดูกหัวหน่าว (Symphysis
pubis)
1.2 กระดูกก้น
(Sacrum) แทรกอยู่ด้านหลัง ประกอบเป็นผนังด้านหลังของอุ้งเชิงกรานจึงทําให้กระดูกทั้งหมดติดต่อกันเป็นวงโดยรอบ
Pelvic girdle นี้แข็งแรงแต่เคลื่อนไหวน้อย
เพราะเป็นส่วนที่รับน้ำหนักของร่างกาย
พื้นหลังกระดูก Hip bone มีบ่อกลมใหญ่เป็นบ่อลึกตรงกลางระหว่างกระดูกทั้ง
3 ชิ้น มาบรรจบกัน เรียก Acetabulum ในบ่อนี้จะมีหัวของกระดูกต้นขาสวมอยู่ประกอบเป็นข้อต่อตะโพก
ความแตกต่างของอุ้งเชิงกรานระหว่างชายและหญิง
อุ้งเชิงกรานของผู้หญิงกว้างกว่าของผู้ชาย Pelvic brim จะมีลักษณะกลมในหญิงและเป็นรูปสามเหลี่ยมในชาย
นอกจากนี้ Pubic arch ในผู้หญิงจะเป็นมุมป้านหรือมากกว่า
90 องศา ส่วนในผู้ชายจะเป็นมุมแหลม และกระดูกก้นกบเคลื่อนไหวได้มากกว่าในผู้ชาย ทั้งนี้เพื่อเตรียมสําหรับรองรับการมีครรภ์
และการคลอดบุตร
2. กระดูกที่ประกอบเป็นขา ประกอบด้วย
2.1 กระดูกต้นขา (Femur) มี 2 ชิ้น เป็นกระดูกที่ยาวที่สุดในร่างกาย
ปลายด้านบนเรียก Head ต่อเข้าในเบ้า Accetabulum ถัดลงมาเรียกว่า Neck ลงมามีปุ่ม 2 ปุ่ม เรียกว่า Greater trochanter(ด้านนอก) และ Lesser trochanter(ด้านใน) ถัดลงมาคือ body (shaft) ซึ่งโก่งไปทางด้านหน้า ที่ผิวด้านหลังของมีสันนูนขรุขระ
สิ้นสุดโดยปุ่มผิวเรียบ 2 ปุ่ม ปุ่มด้านในเรียกว่า Medial
condyle ปุ่มด้านนอกเรียกว่าLateral condyle ต่อกับปลายบนของกระดูก
Tibia เป็นข้อต่อหัวเข่า (Knee joint)
2.2 กระดูกสะบ้า (Patella) มี 2
ชิ้น เป็นกระดูกแบนรูปสามเหลี่ยมที่ด้านหน้าหัวเข่า ปลายแหลมจะชี้ลงข้างล่าง
กระดูกสะบ้ามี Ligament patella เกาะอยู่ที่ส่วนปลายยึดให้กระดูกนี้อยู่กับที่
2.3 กระดูกหน้าแข้ง (Tibia)
มี 2 ชิ้น แข็งแรงอยู่บนปลายขาด้านใน
ปลายบนใหญ่ติดกับกระดูกต้นขา ตอนกลางเป็นรูปสามเหลี่ยมโค้งไปด้านนอกเล็กน้อย
หักได้ง่าย ปลายล่างเล็กกว่าปลายบน ด้านในของปลายล่างมีปุ่มยืนออกไป
ประกอบเป็นตาตุ่มใน (Medialmalleolus) ด้านนอกของปลายล่างมีรอยติดต่อกับปลายของกระดูกน่อง
(Fibula) และที่พื้นล่างมีรอยติดต่อกับกระดูกข้อเท้า
2.4 กระดูกน่อง (Fibula) มี 2 ชิ้น เป็นกระดูกยาวเรียวเล็กกว่ากระดูกหน้าแข้ง
อยู่ด้านนอกของปลายขา ขนานกับกระดูกหน้าแข้ง ปลายบนมีลักษณะรูปสี่เหลี่ยมโต
ด้านในติดต่อกับกระดูกหน้าแข้ง ตอนกลางเรียว หักง่าย ส่วนปลายล่างเป็นแง่แหลม
ประกอบเป็นตาตุ่มด้านนอก เรียกว่า Lateral malleolus กระดูกส่วนปลายติดต่อกับกระดูกข้อเท้า
2.5 กระดูกข้อเท้า (Tarsus)
เป็นกระดูกสั้น มีทั้งหมด 14 ชิ้น ข้างละ 7 ชิ้น โดยมีเอ็นหลายเส้นยึดไว้ กระดูกข้อเท้าโตกว่ากระดูกข้อมือ
มีรูปแปลกๆ กระดูกข้อเท้าที่ใหญ่ที่สุดและเป็นกระดูกชิ้นแรก เรียก Calcaneus
ประกอบเป็นส้นเท้า (Heel bone) เป็นกระดูกที่แข็งแรงที่สุดเพราะรับน้ำหนักของร่างกาย
2.6 กระดูกฝ่าเท้า (Metatarsus)
มีทั้งหมด 10 ชิ้น ข้างละ 5 ชิ้น เป็นกระดูกยาวเรียงกันอยู่ ฝาเท้ามีรูปโค้งโดยมีกล้ามเนื้อและเอ็นยึดไว้
ส่วนโค้งเรียก Foot arch มี 2
ลักษณะคือ โค้งไปตามยาวจากส้นเท้าถึงปลายนิ้วเท้า อยู่ทางด้านในของเท้า เรียกว่า Longitudinal
arch และโค้งขวาง เรียก Transverse arch ทำให้ข้อเท้ามี
Spring ไม่กระเทือนและไม่เจ็บมากเวลาเดินหรือวิ่ง ฝ่าเท้าแบนเรียกว่า
Flat foot
2.7 กระดูกนิ้วเท้า (Phalanges of the toes) มีทั้งหมด 28 ชิ้น ข้างละ 14 ชิ้น เป็นกระดูกยาว แต่สั้นกว่ากระดูกนิ้วมือ
มีนิ้วละ 3 ชิ้น ยกเว้นนิ้วหัวแม่เท้ามี 2 ชิ้น
ข้อต่อ
(Joints or Articulation)
ตำแหน่งหรือจุดที่กระดูก 2 ชิ้น มาต่อหรือบรรจบกัน ประกอบเป็นโครงของร่างกายและช่วยให้เกิดการเคลื่อนไหว
1. ข้อต่อเคลื่อนไหวไม่ได้เลย มีลักษณะเฉพาะ คือ กระดูก 2 ชิ้น หรือบางส่วนของกระดูกจะมารวมกันโดยมี Fibrous or Fibroelastic
tissue หรือกระดูกอ่อน (Cartilage) แทรกอยู่ เช่นรอยต่อของกะโหลกศีรษะ
(Suture)
2. ข้อต่อเคลื่อนไหวได้เล็กน้อย แบ่งออกเป็น 2 ชนิด
2.1 Syndesmoses
คือ ข้อต่อที่เชื่อมด้วย Fibrous connective tissue หรือ Ligament แทรกอยู่ เช่น ข้อต่อที่ปลายของกระดูกหน้าแข้ง
(Tibia) และกระดูกน่อง (Fibula) เรียกว่า
Tibiofibular joint
2.2 Symphysis คือ ข้อต่อโดยมี Cartilage แทรกอยู่ เช่น ข้อต่อระหว่างกระดูกสันหลังเรียก
Intervertebral disc รอยต่อของกระดูกหัวหน่าว (Symphysis
pubis) และรอยต่อของกระดูกก้นกบกับกระดูกเชิงกราน
(Sacroiliac joint)
3. ข้อต่อเคลื่อนไหวได้มาก ประกอบด้วยกระดูก 2 ชิ้น หัวท้ายของกระดูกมีกระดูกอ่อนเรียกว่า
Articular cartilage มาหุ้มปิดอยู่ ลดแรงเสียดทานของกระดูกกับกระดูก
และให้ข้อต่อเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น
สามารถแบ่งออกได้หลายแบบตามการเคลื่อนไหว
3.1 ข้อต่อลื่นไถล (Gliding
joints) ข้อต่อจะเคลื่อนไหวได้เล็กน้อย เคลื่อนที่แบบถูไปถูมา มีลักษณะแบน
เช่น Vertebral process กระดูกนิ้วมือและนิ้วเท้า
3.2 ข้อต่อแบบบานพับ (Hinge joint) เคลื่อนไหวได้รอบแกนในแนวระดับเพียงแกนเดียว
ปลายกระดูกชิ้นหนึ่งจะเป็นแบบนูน อีกชิ้นจะเป็นแบบเว้า เช่น ข้อศอก (Elbow
joint) เกิดจากปลายกระดูกต้นแขนต่อกับหัวกระดูกปลายแขนอันใน และ
ข้อเข่า (Knee joint) เกิดจากปลายกระดูกต้นขากับหัวกระดูกหน้าแข้ง
3.3 ข้อต่อแบบหมุน (Pivot
joint) เคลื่อนไหวได้รอบแกนตั้งเพียงแกนเดียว เช่น Atlanto – axial joint เกิดจากกระดูก
Atlas กับ Axis หมุนได้เพียงซ้ายกับขวาเท่านั้น
และ Proximal radio – ulna joint เกิดจากกระดูก Ulna และกระดูก Radius
3.4 ข้อต่อคอนไดลอยด์ (Condyloid
joint or Double hinge joint) มีการเคลื่อนไหว 2 ทาง คือ ไปข้างหน้า-ข้างหลัง และไปข้างๆ ข้อต่อแบบนี้กระดูกชิ้นหนึ่งเป็นหัวกลม
อีกชิ้นหนึ่งเป็นแอ่งตื้นๆ เช่น ข้อมือ (Wrist joint) เกิดจากกระดูกข้อมือกับกระดูกปลายแขนอันนอก
ข้อต่อระหว่างกระดูกฝาและนิ้วมือ (Metacarpo – pharyngeal joint)
3.5 ข้อต่อรูปอาน (Saddle
joint) กระดูกชิ้นหนึ่งเป็นแอ่งเว้าลงไปแต่ไม่ลึก อีกชิ้นมีลักษณะเป็นหัวกลม
(นูน) ได้แก่ Carpo – metacarpal of the thump เกิดจากกระดูกฝามือต่อกับกระดูกนิ้วหัวแม่มือชิ้นแรก
3.6 ข้อต่อหมุนได้รอบ (Ball
and socket joint) เกิดจากปลายข้างหนึ่งของกระดูกเป็นแอ่งเว้าลงไป
อีกชิ้นหนึ่งเป็นหัวกลมซึ่งสวมอยู่ในแอ่งพอดี ทําให้เคลื่อนไหวได้ทุกทาง เช่น Hip
joint (เกิดจากกระดูกต้นขาหัวกลมสวมอยู่ในแอ่งของกระดูกตะโพก) Shoulder
joint (เกิดจากหัวของกระดูกต้นแขนสวมอยู่ในแอ่งของกระดูกสะบัก)
ข้อต่อแบบนี้เป็นข้อต่อที่ต้องรับน้ำหนักมากที่สุด
องค์ประกอบที่ทำให้ข้อต่อติดกัน
ไม่เคลื่อนออกจากกัน
1. มี Capsule และ Ligament ยึดไว้
2. มีแรงดึงของกล้ามเนื้อรอบๆข้อต่อ (Muscle tension)
3. อาศัยความดึงดูดระหว่างกระดูก 2 ชิ้น
(Cohesion)
4. ความกดของอากาศข้างนอกรอบตัวเรา (Atmospheric pressure)
5. กระดูกต่อกระดูกช่วยติดกันเองโดยไปขัดกันเองในตัว (Interlocking of
bones)
การเคลื่อนไหวของข้อต่อ
เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อต่างๆที่มาสัมพันธ์กับข้อต่อ แบ่งออกเป็น
1. การงอ (Flexion) หรือการทำมุม เช่น ก้มศีรษะหรืองอข้อศอก
2. การเหยียดหรือการทำให้ตรง (Extension)
3. การกาง (Abduction) เป็นการกางออกไปทางข้างๆ
เช่น การกางแขน
4. การหุบ (Adduction) เป็นการนำเข้ามาชิดหรือการหุบ
เช่นหุบแขนเข้าหาลำตัว สำหรับนิ้วมือต้องใช้นิ้วกลางเป็นจุดกึ่งกลาง ส่วนนิ้วเท้าใช้นิ้วเท้าอันที่2 เป็นจุดกึ่งกลาง
5. การหมุนรอบแกนตามยาว (Rotation) หมุนไปบนแกนของมันโดยหมุนอยู่กับที่
เช่น การหมุนของกระดูกคอ
6. การหมุนแกว่ง (Circumduction) เป็นการหมุนไปรอบๆแกนหลายอันในเวลาเดียวกัน
ซึ่งเกิดจากการกระทำร่วมกันขอข้อต่อ เช่น การหมุนแขนหรือขา
7. การคว่ำมือ (Pronation)
8. การหงายมือ (Supination)
ความผิดปกติของข้อต่อ
(Joints disorder)
1.
Dislocation หมายถึง ปลายกระดูกชิ้นหนึ่งเคลื่อนไปจากที่เดิม เช่น หัวกระดูกต้นแขนเคลื่อนจากแอ่งของกระดูกสะบัก
2.
Bursitis หมายถึง การอักเสบของ Bursae (ถุงเล็กที่อยู่รอบๆข้อต่อ)
เช่น ทีข้อเข่าทำให้ปวดและเดินไม่ถนัด
3.
Ankylosis หมายถึง การทีข้อต่อกระดูกติดแน่น เคลื่อนไหวไม่ได้อีกต่อไป มักเกิดหลังการอักเสบ
หรือการบาดเจ็บ
4.
Arthritis หมายถึง การอักเสบของเนื้อเยื่อ บริเวณรอบๆข้อต่อ จะบวมและปวด จนทำให้ข้อต่อเกิดการผิดรูปได้
5.
Sprain หมายถึงการแพลงหรือการบิดของข้อ และทำให้เอ็นแตกหรือฉีกขาดจะมีอาการปวดและบวมแดง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น